เจาะลึก: การทำงานของระบบ EDM ในกล้อง Total Stationเจาะลึก: การทำงานของระบบ EDM ในกล้อง Total Station (Electronic Distance Measurement)
กล้อง Total Station เป็นหัวใจสำคัญของงานสำรวจและก่อสร้างยุคใหม่ ด้วยความสามารถในการวัดทั้งมุมและระยะทางได้อย่างแม่นยำในเครื่องเดียว และหัวใจสำคัญที่ทำให้ Total Station สามารถวัดระยะทางได้อย่างน่าทึ่งคือ ระบบ EDM (Electronic Distance Measurement) หรือเครื่องวัดระยะทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งใช้หลักการทางฟิสิกส์ในการคำนวณระยะห่างระหว่างกล้องกับเป้าหมาย บทความนี้จะเจาะลึกถึงหลักการทำงาน ประเภท และปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพของระบบ EDM ในกล้อง Total Station
____________________________
EDM คืออะไร?
EDM คือเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Waves) เช่น คลื่นแสง (อินฟราเรดหรือเลเซอร์ที่มองเห็นได้) หรือคลื่นไมโครเวฟ ในการวัดระยะทางจากตัวเครื่องไปยังเป้าหมาย โดยอาศัยหลักการคำนวณจากการเดินทางของคลื่นนั้นๆ ซึ่งต่างจากการวัดระยะทางแบบดั้งเดิมที่ใช้เทปวัดหรือโซ่
_____________________________
หลักการทำงานพื้นฐานของ EDM
หัวใจของการวัดระยะด้วย EDM คือการคำนวณโดยใช้สูตรพื้นฐาน:
$$\text{ระยะทาง (D)} = \frac{1}{2} \times \text{ความเร็วของคลื่น (v)} \times \text{เวลาที่คลื่นใช้ในการเดินทางไป-กลับ (t)}$$
แม้หลักการจะดูเรียบง่าย แต่ในทางปฏิบัติมีรายละเอียดที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก โดย EDM จะวัดระยะทางด้วย 2 วิธีหลักๆ ดังนี้:
1. การวัดโดยใช้การเปลี่ยนแปลงเฟส (Phase Measurement):
- หลักการ: เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดในกล้อง Total Station ที่ต้องการความแม่นยำสูง
- การทำงาน:
- สร้างคลื่น: กล้องจะสร้างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่คงที่ (Carrier Wave) จากนั้นจะทำการ "โมดูเลต" (Modulate) หรือซ้อนคลื่นข้อมูล (Modulating Wave) ที่มีความถี่ต่ำกว่าลงไปบนคลื่นหลัก คลื่นข้อมูลนี้จะมีรูปแบบเฟสที่แน่นอน
- ส่งสัญญาณ: คลื่นที่ถูกโมดูเลตจะถูกส่งออกจากกล้องไปยังเป้าหมาย (มักจะเป็นปริซึมสะท้อนแสง)
- สะท้อนกลับ: คลื่นจะสะท้อนกลับมาจากเป้าหมายและถูกรับโดยตัวรับสัญญาณภายในกล้อง
- วัดเฟส: กล้องจะเปรียบเทียบเฟสของคลื่นที่ส่งออกไปกับคลื่นที่สะท้อนกลับมา เนื่องจากคลื่นเดินทางเป็นระยะทางไกลและกลับมา เฟสของคลื่นที่สะท้อนกลับจะมีการ "เลื่อน" หรือ "เปลี่ยน" ไปจากเฟสเดิมที่ส่งออกไป
- คำนวณระยะ: การเปลี่ยนแปลงของเฟสนี้จะถูกนำมาคำนวณเป็นระยะทาง โดยใช้ความยาวคลื่นของคลื่นข้อมูลที่ทราบค่า (ความเร็วแสง / ความถี่ของคลื่น)
- ข้อดี: ให้ความแม่นยำสูงมาก (ระดับมิลลิเมตร) เหมาะสำหรับการวัดระยะทางปานกลางถึงไกล
2. การวัดโดยใช้เวลาเดินทางของพัลส์ (Pulse/Time-of-Flight Measurement):
- หลักการ: เป็นวิธีที่ใช้ใน EDM บางประเภท หรือในโหมดการวัดระยะแบบไม่ใช้ปริซึม (Reflectorless) และในเครื่องสแกนเลเซอร์ 3 มิติ
- การทำงาน:
- ส่งพัลส์: กล้องจะยิงพัลส์ของแสงเลเซอร์ (เป็นลำแสงสั้นๆ) ออกไป
- วัดเวลา: ระบบจับเวลาที่มีความแม่นยำสูงจะเริ่มจับเวลาทันทีที่พัลส์ถูกส่งออกไป
- สะท้อนกลับ: พัลส์จะเดินทางไปยังเป้าหมาย (ไม่จำเป็นต้องมีปริซึม แต่ต้องเป็นพื้นผิวที่สะท้อนแสงได้ดี) และสะท้อนกลับมายังตัวรับสัญญาณ
- หยุดจับเวลา: ระบบจับเวลาจะหยุดทันทีที่พัลส์สะท้อนกลับมาถึง
- คำนวณระยะ: ระยะทางจะถูกคำนวณจากเวลาที่พัลส์ใช้ในการเดินทางไปและกลับ คูณด้วยความเร็วแสง
- ข้อดี: รวดเร็วมาก สามารถวัดได้โดยไม่ต้องใช้ปริซึม (Reflectorless) เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความเร็วหรือสำรวจในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก
- ข้อจำกัด: โดยทั่วไปแล้ว อาจมีความแม่นยำน้อยกว่าวิธี Phase Measurement เล็กน้อย โดยเฉพาะในระยะไกลมาก
_____________________________
ส่วนประกอบหลักของระบบ EDM ใน Total Station
- ตัวส่งสัญญาณ (Transmitter): สร้างและส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เช่น LED, Laser Diode)
- เลนส์ส่งสัญญาณ (Transmitting Optics): รวมและส่งคลื่นไปยังเป้าหมาย
- ตัวรับสัญญาณ (Receiver): ตรวจจับคลื่นที่สะท้อนกลับมา
- เลนส์รับสัญญาณ (Receiving Optics): รวบรวมคลื่นที่สะท้อนกลับมายังตัวรับ
- วงจรอิเล็กทรอนิกส์ประมวลผล (Processing Unit): ทำหน้าที่สร้างคลื่น, ควบคุมการส่ง/รับ, วัดเฟสหรือเวลา, และคำนวณระยะทาง
___________________________
ประเภทของ EDM ใน Total Station
Prism EDM:
- การทำงาน: ต้องใช้เป้าหมายที่เป็น ปริซึมสะท้อนแสง (Prism Reflector) ซึ่งออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อสะท้อนแสงกลับไปยังแหล่งกำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
- ข้อดี: ให้ความแม่นยำสูงที่สุดในระยะไกล (หลายกิโลเมตร) เนื่องจากปริซึมช่วยให้สัญญาณสะท้อนกลับมาได้แรงและคมชัด
- ข้อจำกัด: ต้องมีผู้ถือปริซึมที่ตำแหน่งเป้าหมาย ซึ่งเพิ่มจำนวนบุคลากรและเวลาในการทำงาน
Reflectorless EDM (RLM / DR - Direct Reflex):
- การทำงาน: ยิงแสงเลเซอร์ไปยังพื้นผิวเป้าหมายโดยตรง (เช่น ผนัง, ต้นไม้, หิน) โดยไม่ต้องใช้ปริซึม
- ข้อดี: สะดวกและรวดเร็ว ไม่ต้องมีผู้ถือปริซึม เหมาะสำหรับงานที่เข้าถึงยากหรือต้องการเก็บข้อมูลจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว
- ข้อจำกัด: ระยะทำการสั้นกว่าแบบใช้ปริซึมมาก (ขึ้นอยู่กับรุ่นและพื้นผิวสะท้อนแสง) และความแม่นยำอาจลดลงในระยะไกลหรือบนพื้นผิวที่สะท้อนแสงได้ไม่ดี (เช่น ผิวมันเงา, สีเข้ม)
_______________________________
ปัจจัยที่มีผลต่อความแม่นยำของ EDM
- สภาพบรรยากาศ (Atmospheric Conditions):
- อุณหภูมิ, ความดันบรรยากาศ, ความชื้น: ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อความเร็วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เดินทางในอากาศ ซึ่ง EDM ต้องนำมาคำนวณและปรับแก้ หากข้อมูลสภาพอากาศไม่ถูกต้อง ค่าระยะทางที่ได้ก็อาจคลาดเคลื่อน
- การหักเหของแสง: ความแตกต่างของอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศ (เช่น อากาศเหนือพื้นดินที่ร้อนจัด) อาจทำให้แสงเลเซอร์เกิดการหักเห ทำให้ค่าระยะทางคลาดเคลื่อน โดยเฉพาะในการวัดระยะไกล
- ชนิดและสภาพของเป้าหมาย:
- ปริซึม: ปริซึมที่สกปรก ชำรุด หรือไม่ได้ตั้งฉากกับแนวเล็ง จะส่งผลให้สัญญาณสะท้อนกลับมาอ่อนลงและคลาดเคลื่อน
- พื้นผิวในโหมด Reflectorless: พื้นผิวที่มืด, ขรุขระ, หรือไม่สะท้อนแสง จะลดประสิทธิภาพและความแม่นยำของการวัดแบบ Reflectorless
- การสอบเทียบกล้อง (Instrument Calibration):
- กล้อง Total Station ต้องได้รับการสอบเทียบ EDM เป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่าค่าคงที่และพารามิเตอร์ภายในกล้องยังถูกต้อง
- สิ่งกีดขวางในแนวเล็ง:
- ฝุ่น, หมอก, ควัน, หรือหยดน้ำในอากาศสามารถดูดกลืนหรือกระจายแสงเลเซอร์ ทำให้สัญญาณอ่อนลงและวัดได้ยากขึ้น
__________________________
สรุป
ระบบ EDM เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้กล้อง Total Station เป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ในงานสำรวจและก่อสร้างยุคปัจจุบัน ด้วยหลักการทำงานที่ซับซ้อนแต่ให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ EDM ได้เข้ามาแทนที่วิธีการวัดระยะแบบดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง การทำความเข้าใจหลักการทำงาน ประเภท และปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพของ EDM จะช่วยให้ช่างสำรวจสามารถใช้งาน Total Station ได้อย่างเต็มศักยภาพ และมั่นใจในความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ
ยินดีให้คำปรึกษาแนะนำ กล้องระดับ กล้องวัดมุม กล้องประมวลผลรวม และบริการหลังการขาย : บริษัท พี นัมเบอร์วัน อินสตรูเม้นท์ จำกัด