Last updated: 23 ต.ค. 2568 | 11 จำนวนผู้เข้าชม |
การวัดระยะในพื้นที่แคบด้วย Mini Prism (มินิปริซึม)
ในการทำงานสำรวจภาคสนาม มักมีหลายสถานการณ์ที่พื้นที่ทำงานจำกัด เช่น บริเวณภายในอาคาร พื้นที่ใต้อาคารจอดรถ หรือบริเวณที่มีสิ่งกีดขวางจำนวนมาก การใช้ปริซึมขนาดใหญ่ในพื้นที่ลักษณะนี้อาจทำได้ยาก และนี่คือเหตุผลที่ “Mini Prism (มินิปริซึม)” เข้ามามีบทบาทสำคัญ
Mini Prism คืออะไร ?
Mini Prism คือปริซึมสะท้อนแสงจากกล้องสำรวจ (เช่น Total Station) ที่มีขนาดเล็กกว่าปริซึมมาตรฐานมาก โดยออกแบบมาให้พกพาสะดวก ติดตั้งง่าย และเหมาะกับงานที่ต้องการความคล่องตัวสูง
ขนาดของ Mini Prism โดยทั่วไปจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 17.5 – 25 มิลลิเมตร ซึ่งเล็กกว่าปริซึมทั่วไปที่มักมีขนาดราว 62 มิลลิเมตร
เหตุผลที่ Mini Prism เหมาะกับพื้นที่แคบ
เทคนิคการวัดระยะในพื้นที่แคบด้วย Mini Prism
1. ใช้ขาตั้งแบบ Mini Pole หรือ Magnetic Base
สำหรับพื้นที่ที่ไม่มีที่วางขาตั้งกล้อง ใช้ฐานแม่เหล็กหรือเสาเล็กช่วยยึดมินิปริซึมกับพื้นผิว เช่น เสาเหล็กหรือขอบคอนกรีต
2. ตั้งพริซึมให้ได้ศูนย์พอดีกับแนวกล้อง
เนื่องจากพื้นที่แคบมักมีข้อจำกัดด้านมุมมอง ควรใช้ เลเซอร์ชี้แนว (Laser Plummet) หรือปรับกล้องให้ศูนย์ตรงปริซึมอย่างละเอียด
3. ตรวจค่าคงที่ปริซึม (Prism Constant)
มินิปริซึมแต่ละรุ่นมีค่าคงที่ต่างกัน เช่น -17.5 mm หรือ 0 mm ควรตั้งค่าตรงกับรุ่นเพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อน
4. หลีกเลี่ยงสิ่งสะท้อนอื่นในพื้นที่
พื้นผิวโลหะหรือกระจกอาจสะท้อนสัญญาณผิดพลาด ควรเลือกมุมที่ไม่มีสิ่งรบกวนทางแสง
5. ตรวจสอบการมองเห็นของกล้อง (Line of Sight)
พื้นที่แคบอาจมีสิ่งบังบางส่วน ควรวางมินิปริซึมในตำแหน่งที่กล้องมองเห็นพริซึมเต็มหน้าเพื่อได้สัญญาณแรงที่สุด
ข้อจำกัดที่ควรระวัง
การใช้ Mini Prism ในพื้นที่แคบช่วยให้งานสำรวจเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อจับคู่กับกล้อง Total Station รุ่นที่มีระบบชดเชยมุมหรือการเล็งอัตโนมัติ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวัดอย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น สำหรับช่างสำรวจมืออาชีพ การมีมินิปริซึมติดชุดอุปกรณ์ไว้เสมอ ถือเป็นอีกหนึ่ง “เครื่องมือเล็กที่ให้ผลลัพธ์ใหญ่” ในงานสำรวจจริง
23 ต.ค. 2568
22 ต.ค. 2568
23 ต.ค. 2568