กล้องระดับช่วยป้องกันปัญหาน้ำขัง-เอียงในงานพื้นลานจอดรถ

กล้องระดับกับการป้องกันปัญหาน้ำขัง-เอียงในลานจอดรถ

ลานจอดรถที่ได้มาตรฐานนอกจากจะต้องแข็งแรงแล้ว ยังต้องมีการระบายน้ำที่ดีเยี่ยม เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมขังและลดการเกิดอุบัติเหตุ กล้องระดับ (Auto Level) เป็นเครื่องมือสำคัญที่วิศวกรและผู้รับเหมาใช้ในการควบคุมการก่อสร้างพื้นลานจอดรถให้มีระดับความลาดเอียงที่เหมาะสม ทำให้ปัญหาเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น

ทำไมลานจอดรถถึงต้องมีระดับที่เหมาะสม?

• การระบายน้ำ: พื้นลานจอดรถที่ไม่ได้ระดับจะทำให้เกิดแอ่งน้ำเมื่อฝนตก ซึ่งนอกจากจะสร้างความไม่สะดวกแล้วยังอาจทำให้พื้นผิวคอนกรีตเสียหายในระยะยาว
• ความปลอดภัย: น้ำขังทำให้ผิวถนนลื่น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
• ความสวยงาม: ลานจอดรถที่เรียบและไม่มีแอ่งน้ำขังจะดูสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย

บทบาทของกล้องระดับในการสร้างพื้นลานจอดรถ

การใช้กล้องระดับในการสร้างพื้นลานจอดรถจะเน้นไปที่การควบคุมความลาดเอียง (Slope) ของพื้นผิว เพื่อให้น้ำไหลไปยังท่อระบายน้ำที่กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีขั้นตอนการทำงานดังนี้:

1. การกำหนดจุดอ้างอิงและระดับความลาดเอียง:

   ก่อนเริ่มงาน วิศวกรจะกำหนดจุดอ้างอิงที่มีค่าระดับความสูงที่แน่นอน (Benchmark) จากนั้นใช้กล้องระดับในการคำนวณและปักหมุดกำหนดระดับความสูงของจุดต่างๆ บนลานจอดรถ โดยอ้างอิงจากแบบแปลนที่ระบุค่าความลาดเอียงไว้แล้ว เช่น ความลาดเอียง 1-2%

2. การควบคุมระดับระหว่างการเทคอนกรีต:

   ขณะที่ผู้รับเหมากำลังปรับระดับและเทคอนกรีต ช่างสำรวจจะใช้กล้องระดับตรวจสอบค่าความสูงของพื้นผิวคอนกรีตอย่างต่อเนื่อง โดยการวางไม้สต๊าฟในจุดต่างๆ บนพื้นที่ที่กำลังเทคอนกรีต แล้วเปรียบเทียบค่าที่อ่านได้จากกล้องกับค่าระดับที่กำหนดไว้ในแบบแปลน หากค่าที่วัดได้สูงหรือต่ำเกินไปก็จะทำการแก้ไขทันที

3. การตรวจสอบหลังงานเสร็จสิ้น:

   เมื่อคอนกรีตแห้งและเซตตัวแล้ว ช่างสำรวจจะใช้กล้องระดับตรวจสอบความเรียบและระดับความลาดเอียงของพื้นลานจอดรถอีกครั้ง โดยทำการสำรวจแบบตาราง (Grid Survey) เพื่อหาจุดที่มีปัญหา เช่น จุดที่ระดับต่ำกว่าจุดอื่น ๆ และเกิดเป็นแอ่งน้ำได้ หากพบปัญหาจะสามารถแจ้งให้ผู้รับเหมาแก้ไขก่อนส่งมอบงาน

สรุป

กล้องระดับเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การก่อสร้างพื้นลานจอดรถเป็นไปอย่างมีคุณภาพและได้มาตรฐาน การควบคุมระดับความลาดเอียงอย่างแม่นยำตั้งแต่เริ่มต้นช่วยป้องกันปัญหาน้ำท่วมขังและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว และยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการโดยรวมอีกด้วย