Last updated: 20 พ.ย. 2568 | 25 จำนวนผู้เข้าชม |
การตั้งค่าโหมดการยิงในกล้องสำรวจ สำคัญอย่างไร
เพราะ “โหมดการยิง” คือหัวใจของความแม่นยำในงานสำรวจ ในกล้องสำรวจสมัยใหม่ เช่น Total Station, Theodolite, หรือ Digital Level จะมีฟังก์ชันให้เลือก “โหมดการยิง (EDM Mode / Measurement Mode)” หลายแบบ เพื่อให้เหมาะกับสภาพพื้นที่ ระยะทาง และความละเอียดที่ต้องการ แต่ช่างภาคสนามจำนวนไม่น้อยยังตั้งโหมดผิด หรือใช้โหมดเดียวตลอดงานโดยไม่รู้ว่า โหมดการยิงมีผลโดยตรงต่อความแม่นยำ ความเร็ว และระยะการวัด
บทความนี้จะอธิบายให้ชัดว่า “โหมดการยิงสำคัญอย่างไร” และควรใช้เมื่อใด
โหมดการยิงคืออะไร?
โหมดการยิงคือ รูปแบบการทำงานของระบบวัดระยะ (EDM – Electronic Distance Measurement) ซึ่งแต่ละโหมดจะมีความต่างในเรื่องความแม่นยำ ความเร็วในการยิง ความสามารถในการยิงเป้าระยะไกล การทนต่อแสงแดดหรือสิ่งรบกวน การใช้พลังงานของกล้อง ตัวอย่างโหมดที่พบบ่อย ได้แก่
Fine / Precise Mode → ยิงละเอียด แม่นยำที่สุด
Rapid / Fast Mode → ยิงเร็ว เหมาะกับงานทั่วไป
Tracking Mode → ยิงต่อเนื่อง เพื่อใช้กับงานเคลื่อนไหว
Long Range Mode → ยิงไกล ใช้พลังงานสูง
Reflectorless Mode → ยิงแบบไม่ใช้ปริซึม
แต่ละโหมดถูกออกแบบให้เหมาะกับสถานการณ์เฉพาะ
ทำไมการตั้งค่าโหมดการยิงจึงสำคัญมาก?
✅ 1) เพราะโหมดต่างกัน = ความแม่นยำต่างกัน ตัวอย่างชัดเจนคือ
โหมด Fine จะยิงหลายครั้งแล้วเฉลี่ยค่า → แม่นยำสูง
โหมด Rapid ยิงรวดเร็วกว่า แต่ความละเอียดน้อยลง
โหมด Tracking ยิงต่อเนื่อง → ค่าจะไม่นิ่งเหมือนโหมด Fine
ถ้าคุณตั้งกล้องผิดโหมด อาจได้ค่าพิกัดเพี้ยนโดยไม่รู้ตัว
โดยเฉพาะงานอย่าง ตั้งแนวโครงสร้าง ตั้งศูนย์เสาเข็ม งานควบคุมระดับ ที่ต้องการความละเอียดระดับมิลลิเมตร
✅ 2) เพราะสภาพแสงและสภาพพื้นที่ส่งผลโดยตรง
ยกตัวอย่าง:
แดดจัดตอนเที่ยง → EDM ถูกรบกวน ควรใช้โหมด Fine หรือ Long Range
งานในพื้นที่มีฝุ่นหรือไอร้อน → Rapid อาจทำให้ค่ากระโดด
งานใกล้อาคารสะท้อนแสง → ควรใช้โหมดช้าเพื่อลด Noise
ถ้าตั้งโหมดไม่สัมพันธ์กับหน้างาน จะทำให้กล้องวัดพลาดง่ายมาก
✅ 3) เพราะโหมดการยิงส่งผลต่อ “ระยะยิงได้จริง”
โหมดต่างกันให้ “พลังยิง” ไม่เท่ากัน เช่น
Rapid Mode → ยิงระยะ 300–500 ม.
Fine Mode → ยิงไกลและนิ่งกว่า
Long Range Mode → ยิงไกลสุด (ขึ้นอยู่กับรุ่น)
Reflectorless → ยิงใกล้กว่าและไม่แม่นเท่าปริซึม
หากใช้โหมดไม่ตรงงาน เช่น ใช้ Rapid ยิงระยะไกล 500–800 ม. ค่าจะไม่นิ่งหรือยิงไม่ออกเลย
✅ 4) เพราะโหมดการยิงส่งผลต่อเวลาในการทำงาน
โหมด Fine → ช้า แต่แม่น
โหมด Rapid → เร็ว แต่ความละเอียดต่ำ
โหมด Tracking → เร็วมาก แต่ค่าจะกระพริบตลอด
การเลือกโหมดผิดทำให้เสียเวลาโดยไม่จำเป็น หรือทำงานไม่ทันงานภาคสนาม
✅ 5) เพราะโหมดการยิงเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของข้อมูล
การทำงานแบบ Tracking Mode ในจุดสำคัญ เช่นงานตั้งศูนย์ ควรหลีกเลี่ยง เพราะค่าจะเปลี่ยนตลอดเวลา อาจบันทึกค่าผิดโดยไม่รู้ตัว
ควรเลือกโหมดแบบไหนในสถานการณ์ต่าง ๆ?
งานละเอียด เช่น ตั้งเสา, ตำแหน่งโครงสร้าง
ใช้ Fine Mode
งานทั่วไป เช่น สำรวจพื้นที่, เก็บจุดเช็ก
ใช้ Rapid Mode
งานที่ต้องติดตามคนถือปริซึม เช่น ยิงขณะเดิน
ใช้ Tracking Mode
งานระยะไกล 500–1,000 ม.
ใช้ Long Range Mode
งานแบบไม่มีปริซึม เช่น ยิงกำแพง, ยิงพื้น
ใช้ Reflectorless Mode (R/L)
แต่ควรระวังว่าไม่แม่นเท่าปริซึม
ข้อควรระวัง
โหมด R/L ใช้บนวัตถุสะท้อนต่ำจะได้ค่าหลอก
แดดแรงทำให้ค่ากระโดด แม้ใช้ Rapid
Tracking ไม่ควรใช้บันทึกค่าคงที่
ปรับโหมดก่อนเริ่มงานทุกครั้ง
บันทึกค่าการตั้งโหมดในรายงาน เพื่อป้องกันความสับสน
สรุป
โหมดการยิงคือหัวใจสำคัญของกล้องสำรวจ เพราะมีผลต่อ ความแม่นยำ ความเร็ว ความเสถียร การทำงานในสภาพแสงและระยะต่าง ๆ ช่างสำรวจที่เข้าใจการเลือกโหมด จะได้ค่าที่ถูกต้องกว่า ทำงานเร็วกว่า และลดโอกาสผิดพลาดได้หลายเท่า
20 พ.ย. 2568
18 พ.ย. 2568
19 พ.ย. 2568